วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

บันทึกปาฏิหาริย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์และนิมิตภัยพิบัติ 1-1

 


                                          

 

  

 บันทึกปาฏิหาริย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์และนิมิตภัยพิบัติ

 

อารัมภบท

 

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพ เทวดา นางฟ้า และองค์ต่าง ๆ รวมทั้งภูติผีวิญญาณ ที่ผู้คนทั่วหล้าต่างศรัทธาและเชื่อถือ และได้สัมผัสมากบ้างน้อยบ้าง บางคนก็ได้ประสบพบเห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาตนเอง บางคนก็เพียงแค่เคยได้ยินได้ฟังมา บางคนไม่เคยได้สัมผัสก็ไม่เคยเชื่อ สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถพิสูจน์เป็นรูปธรรมได้ เพียงแต่ความเชื่อของคนจะนำไปสู่การเร่งสร้างบุญบารมีให้กับตนเองให้มากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะได้เข้าใกล้ สัมผัสในสิ่ง  ลี้ลับด้วยตนเอง หากผู้ใดไม่มีความเชื่อเลยแม้ในจิต ไม่คิดจะสร้างบุญ บารมี หรือแม้แต่ทำบุญ สวดมนต์ ก็ยากยิ่งที่จะสัมผัสในสิ่งเหล่านี้ได้ และยากที่จะได้เห็นและเข้าสู่ประตูแห่งทางธรรมอย่างแท้จริง สิ่งที่ข้าพเจ้าจักได้เล่าขานในบันทึกฉบับนี้ ล้วนเป็นเรื่องจริงในชีวิตของข้าพเจ้า และทุกคนในครอบครัวได้ประจักษ์ และบางเหตุการณ์ไม่อาจพิสูจน์ได้ ข้าพเจ้าได้นำเรื่องราวบางส่วนมาจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม เพื่อให้ลูกหลานและทุกคนในครอบครัวได้อ่าน เพื่อที่จะได้รับรู้ถึงเรื่องราวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุก ๆ พระองค์ เพื่อให้ระลึกถึงภาระหน้าที่ ที่จะต้องทำในอนาคต เรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้อยู่ที่ความเชื่อ และความศรัทธาของคนในครอบครัวเท่านั้น ซึ่งไม่อาจให้ผู้อื่นใดที่มิใช่คนในครอบครัวหรือผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องสามารถอ่านได้ เว้นแต่บุคคลใดที่พระองค์ท่านอนุญาตเท่านั้น เนื่องด้วยหากบุคคลใด ได้พบและได้อ่านแล้วบังเกิดความไม่เชื่อหรือมีการลบหลู่พระองค์และข้าพเจ้าในทางอันไม่ดี ทั้งกายกรรม วจีกรรม หรือมโนกรรม ย่อมก่อเกิดผลกรรมต่อบุคคลนั้นโดยทั้งเจตนาหรือไม่เจตนาได้ หากแต่ผู้ใดมีความประสงค์นำไปเผยแผ่เพื่อผลประโยชน์ต่อผู้อื่น มิใช่ส่วนตน และไม่ก่อเกิดอศุลกรรมใด ๆ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ทั้งนี้ข้าพเจ้าจึงจักขออนุโมทนาบุญแก่ทุกคน

บันทึกเล่มนี้กล่าวถึง เนื้อหาส่วนต่าง ๆ ดังนี้

กล่าวถึงความเป็นมาของ องค์กิ้วอ้วงฮุกโจ้ว (องค์พระยูไล) องค์ชายองค์หญิง และ     สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์

กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการมาขององค์ชายอั้งไห้ยี้ องค์หญิงนาจา  พระแม่กวนอิม  และนิมิตจากพระพุทธองค์ พระแม่กวนอิม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์   

และที่มาของการอัญเชิญ    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุก ๆ พระองค์ อันเป็นจุดกำเนิดของเรื่องราวและความสัมพันธ์ ความศรัทธาของคนในครอบครัว 

ทั้งนี้ข้าพเจ้าได้อาศัยอดีตชาติขององค์หญิงไป๋ทู่ มาจุติในชาติภพนี้ ในนามของน้องสาวบุญธรรมพระแม่กวนอิม  บันทึกฉบับนี้จึงเป็นอดีตชาติขององค์หญิงไป๋ทู่เป็นสำคัญ  ซึ่งแท้จริงสำหรับข้าพเจ้านั้น ไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ว่าเป็นใครมาจุติ ข้าพเจ้า จุติเพียงชาติภพนี้ภพเดียวเท่านั้น เพื่อทำหน้าที่ของข้าพเจ้าให้สิ้นโดยสมบูรณ์  และ เพื่อให้เห็นถึงความเป็นไปในเรื่องราวต่าง ๆ ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่จะขึ้นเป็นสำคัญ 

สำหรับภารกิจบางอย่างเกี่ยวกับ 3 ภพนั้นไม่อาจบันทึกได้ เนื่องด้วยเป็นความลับสวรรค์ จึงบันทึกได้เพียงบางส่วนเท่านั้น

 

เนื้อหาแสดงภาพวาดเหมือนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าเป็นผู้วาดเองทั้งสิ้น โดยแต่ละองค์นั้นจะเป็นองค์ต้นกำเนิดอย่างแท้จริง ขณะวาดภาพ แต่ละองค์ได้ลงมาประทับบนกระดาษที่ข้าพเจ้าวาดตามแบบ เพื่อให้วาดตามได้อย่างถูกต้อง

ส่วนองค์อื่นๆ หากเห็นว่าเหตุใดไม่เหมือนกันนั้น   นั่นคือปางแยกขององค์ท่านได้แยกปางลงมาช่วยเหลือมวลมนุษย์ในแต่ละยุคสมัย แต่ละสถานการณ์ และแสดงภาพถ่ายที่ปรากฏสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใ้หเห็นได้ ทั้งนี้ขึ้นกับดุลยพินิจของแต่ละบุคคล

ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ใดได้อ่านบันทึกนี้แล้วใคร่ขอให้ทุกคนได้ปฏิบัติตนเป็นคนดี มีศีลธรรม เป็นคนกตัญญู รักใคร่กลมเกลียวกัน ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อ   ซึ่งกันและกัน สิ่งสำคัญเพียงพอในสิ่งที่ตนมี นำพาสิ่งที่ได้มาให้ก่อเกิดประโยชน์เพิ่มพูน ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นในทางที่เป็นกุศลกรรมด้วยความศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุก ๆ พระองค์

 

และจงระลึกไว้เสมอว่า ความซื่อสัตย์ ความกตัญญู ความนอบน้อมถ่อมตน ความไม่ยึดติด     ไม่ละโมบ การปล่อยวาง การอภัยทาน และการรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราเสมอ จะทำให้ทุกคนมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองตลอดกาล

ความเชื่อ ความศรัทธา การปฏิบัติดี การปฏิบัติชอบ ย่อมนำไปสู่ประตูแห่งทางธรรม หากแม้นผู้ใดไม่เชื่อไม่ศรัทธาแล้วย่อมเสมือนเป็นการปิดประตูทางธรรมของตัวเองเสีย ซึ่งจะเป็นการยากที่จะได้สัมผัสถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์

 

กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

ชุติกาญจน์ หงษ์พิทักษ์กุล (หงษ์)

 

จุติเป็นน้องสาวบุญธรรมพระแม่กวนอิม




  

บันทึกความเป็นมา

องค์กิ้วอ้วงฮุกโจ้ว

พระแม่กวนอิม  องค์ชายอั้งไห้ยี้

องค์หญิงนาจา และ

 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์


ความเป็นมาของการอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแรกเริ่ม

                  ในส่วนนี้ข้าพเจ้าจะกล่าวถึง การอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละองค์ทั้งก่อนหน้าจนถึงปัจจุบันเพื่อมาสักการะบูชาที่บ้าน โดยเริ่มตั้งแต่สมัยที่ข้าพเจ้ายังทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี  พระจอมเกล้าธนบุรี นับย้อนกลับไปราว ๆ 8 ปีที่ผ่านมานับจากวันที่บันทึก ซึ่งในที่นี้อาจจะไม่มีการระบุเวลาที่แน่ชัด และเป็นประวัติพอสังเขป เนื่องด้วยเป็นการย้อนระลึกถึงอดีตที่ผ่านมาจวบจนถึงปัจจุบันนี้

                ที่มาของการอัญเชิญองค์เหล่าแปะหย่ากง…รูปวาดเหมือนทุกองค์สามารถดูได้จากหัวข้อภาพเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์...........หากย้อนเวลาไปเมื่อสมัยที่ข้าพเจ้าอายุราว ๆ 27 ปี เห็นจะได้ ในสมัยนั้นข้าพเจ้านับถือเพียงเหล่าแปะหย่ากง ซึ่งองค์ท่านเป็นเจ้าปู่ของหมู่บ้านหมี่โอ๊ว ในซัวเถา ประเทศจีน โดยอากง และอาม่า (ในที่นี้อากงและอาม่าคือบิดามารดาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าใช้สรรพนามตามบุตรหลานที่บ้านเรียก) ได้อัญเชิญองค์ท่านมาปกป้องดูแลทุกคนในครอบครัว ตั้งแต่สมัยที่ครอบครัวข้าพเจ้าได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยซึ่งนานมากแล้ว  นอกเหนือจากนี้ข้าพเจ้าไม่ค่อยได้เข้าวัด สวดมนต์ไม่ค่อยเป็น ไม่เคยนับถือองค์ใดเลย นอกจากองค์พระพุทธเจ้า (พระศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า) องค์ปัจจุบันเท่านั้น

                กระทั่งภายหลังจากข้าพเจ้าแต่งงานได้เพียงปีเศษ ๆ ก็ได้เกิดภาวะมรสุมชีวิตด้านการงาน การเงินอย่างหนัก ในตอนนั้นสามี (อดีตสามีในปัจจุบัน) ซึ่งเคยอยู่กับพระธุดงค์มาก่อน ได้สอนให้ข้าพเจ้าสวดมนต์ นั่งทำสมาธิ และได้มอบหนังสือหลวงปู่ชอบ มาให้ข้าพเจ้าได้อ่าน เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านและปฏิบัติตามก็ปรากฏว่าปัญหาต่าง ๆ กลับเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาข้าพเจ้าจึงเริ่มสวดมนต์ นั่งทำสมาธิเป็นครั้งคราว (4-5 เดือนนั่งสักครั้ง ราว 15 นาที)  อีกทั้งได้เริ่มศึกษาเรื่องราวของหลวงปู่องค์ต่าง ๆ เพิ่มเติม 

                ที่มาของการอัญเชิญองค์หลวงปู่โตฯกระทั่งได้มาอ่านพบใน Internet เกี่ยวกับเรื่องของหลวงปู่โตฯ เมื่อได้อ่านเรื่องราวของท่านแล้วทำให้ข้าพเจ้าบังเกิดความศรัทธา และนับถือท่านมาก และได้หัดสวดมนต์บทคาถาชินบัญชร  มีผู้คนมากมายกล่าวกันว่า ถ้าสวดมนต์คาถาชินบัญชรแล้วทำให้ชีวิตยิ่งแย่กว่าเดิม หรือมิฉะนั้นก็ได้เห็นวิญญาณ   จากเดิมที่ไม่เคยได้พบเห็นมากก่อน จึงทำให้หลาย ๆ คนกลัวและไม่คิดอยากจะสวดต่อ หรือเลิกสวดไปกลางคัน  ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายในความเข้าใจผิดนี้  ......จริง ๆ แล้ว บทสวดมนต์นี้หากสวดมาก ๆ จะเป็นการเร่งกรรมให้เกิดเร็วขึ้น ทำให้กรรมหมดเร็วขึ้น ช่วงที่กรรมเกิดเร็วขึ้น ชีวิตจะพบเจอมรสุมมากมาย   จุดนี้เองทำให้คนเข้าใจผิดเป็นส่วนใหญ่ หากสวดต่อไปเรื่อย ๆ บารมีจะเกิดขึ้น.... เนื่องจากบทสวดนี้เป็นการอัญเชิญพระพุทธองค์ทั้งหมด มาประทับที่ร่างเพื่อคุ้มครองภัยต่าง ๆ แก่ผู้สวด  เมื่อสวดจนบารมีเริ่มมี ก็จะเริ่มได้สัมผัสถึงวิญญาณต่าง ๆ  เพื่อเป็นการเพิ่มบารมีจึงควรหมั่นแผ่เมตตา กรวดน้ำให้สัมภเวสีเหล่านั้น หากสวดต่อไปจนกระทั่งบารมีสูงขึ้นอีก ก็จะมีเทวดา มีเทพมาสถิตย์คอยปกป้องคุ้มครองให้ชีวิตดียิ่ง ๆ ขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องปฏิบัติเองจึงจะพบเห็นด้วยตนเองเท่านั้น  (สำหรับการปฏิบัติสมาธินั้น การที่ได้เห็นนิมิตใด ๆ ก็ตามขึ้นแต่ตามบุญและกรรมเก่าของแต่ละคน ซึ่งหมายความว่า แต่ละคนจะมีนิมิตที่แตกต่างกัน มีอำนาจแห่งฌานที่แตกต่างกัน หากใครมีกรรมหรือเจ้ากรรมนายเวรมาก นิมิตนั้นอาจน่ากลัวและทำให้เสียจริตได้ จึงควรมีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะจึงจะดี หากใครมีบารมีเก่าดีอีกทั้งเป็นคนมีศีลธรรม องค์ต่าง ๆ ก็จะมาเป็นครูบาอาจารย์และให้เกิดนิมิตในทางที่ดี และงดงาม และสามารถปฏิบัติเองได้ในแต่ละขั้น บังเกิดอำนาจแห่งฌานตามบารมีที่ได้สั่งสมมา ซึ่งแต่ละคนย่อมมีได้ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว)   

                พระอรหันต์แต่ละรูปย่อมมีอำนาจฌานที่แตกต่างกันตามบารมีที่ได้สั่งสมมาเช่นกัน ดั่งเช่นบางรูปก็อาจไม่มีฌานอำนาจใด ๆ เลย ....บางรูปก็มีเพียงตาทิพย์  ...บางรูปมีตาทิพย์หูทิพย์ .....บางรูปมีทุกอย่าง เหาะเหินได้ แยกร่างไปที่ต่าง ๆ ได้ ...ซึ่งที่สุดแล้วย่อมไม่ยึดติดในอำนาจใด ๆ ที่ได้ มุ่งสู่ความหลุดพ้นอย่างแท้จริง แม้นจะบรรลุอรหันต์แล้วก็ตาม หากยึดติดในฌานใด ๆ ย่อมนำมาซึ่งกิเลสทั้งปวงและความสูญสิ้นในบารมีที่สั่งสมมาได้เช่นกัน

                ที่มาของการอัญเชิญองค์หลวงปู่มั่น หลวงปู่ชอบ และเสด็จพ่อ ร.5ภายหลัง ข้าพเจ้าจึงพยายามที่จะหาเช่าองค์หลวงปู่โตมาสักการบูชา และไม่นานข้าพเจ้าได้พบภาพที่ขายที่ตลาดนัด แถว Lotus บางปะกอก  ในเวลานั้น ข้าพเจ้าได้ศรัทธาองค์หลวงปู่มั่น ซึ่งเป็นพระอาจารย์สายกรรมฐานชื่อดังมาก ข้าพเจ้าจึงได้ซื้อภาพ องค์หลวงปู่โต องค์หลวง ปู่มั่น และเสด็จพ่อ ร.5  และองค์หลวงปู่ชอบมาติดที่ผนังห้องนอน เพราะเช่าห้องอยู่มีเพียงห้องเดียว เพื่อสวดมนต์กราบไหว้ทุกคืน

                จากนั้นไม่นานที่คณะเทคโนโลยีสารสนเทศได้มีงานขายสินค้า ได้มีผู้หญิงตั้งครรภ์คนหนึ่งมาขายองค์พระ ข้าพเจ้าจึงได้องค์หลวงปู่โตมาบูชากระทั่งทุกวันนี้

              ที่มาของการอัญเชิญองค์พระม่กวนอิมและเทพเจ้ากวนอูขณะที่นั่งดู Internet เกี่ยวกับถ้วยชาม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้พบเห็นองค์พระแม่กวนอิมสีเขียว และเทพเจ้ากวนอู เห็นว่าสวยดี จึงสั่งซื้อมา แต่สวดมนต์พระแม่ไม่เป็น เพราะสวดยากมาก ฟังไม่ทัน เพียงแค่จะนั่งอ่านแต่ละคำ ยังรู้สึกว่าอ่านยากเหลือเกิน แค่จะอ่านยังยาก จึงยังไม่เคยสวดมนต์ของพระแม่  แม้ในอดีตที่ผ่านมาในวัยรุ่น จะมีหลายคนที่เล่าเรื่องพระแม่กวนอิม ให้บทสวดพระแม่กวนอิม ข้าพเจ้าก็ไม่เคยสนใจได้แต่ฟังผ่าน ๆ ไปเท่านั้น

                ที่มาของการอัญเชิญองค์หลวงพ่อโสธรขณะทำงานที่กรุงเทพได้ 3 ปี ข้าพเจ้าก็ได้ลาออกจากงาน กลับมาที่เชียงใหม่ แต่ก็ไปไม่รอดเพราะเศรษฐกิจไม่ดี จึงต้องย้อนกลับไปทำงานที่เดิม โดยขณะนั้นได้ไปไหว้องค์หลวงพ่อโสธร ที่ฉะเชิงเทรา  ซึ่งเพื่อนอี๊เกียงพาไป ตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่รู้ประวัติของพระองค์ เห็นว่ามีผู้คนศรัทธามาก จึงไปขอด้วย และได้อธิษฐานจิตว่า หากข้าพเจ้าได้ในสิ่งที่ขอ  จะขอเช่าองค์ท่านมาสักการะบูชา และแล้วไม่นาน สิ่งที่ข้าพเจ้าขอองค์ท่านก็สมหวัง จึงได้เช่าองค์ท่านมาสักการะบูชาจนถึงปัจจุบัน

                ที่มาของการอัญเชิญองค์ ร.4จำได้ว่าเมื่อครั้งที่ไปอยู่กรุงเทพฯในครั้งที่สอง ภายหลังจากไม่สามารถอยู่ที่เชียงใหม่ได้ ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังศึกษาในระดับปริญญาโทเทอมแรกนั้น ได้เกิดมรสุมด้านครอบครัวเป็นครั้งแรก ข้าพเจ้าแม้จะรู้ว่าชีวิตต้องเกิดสิ่งนี้มาก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม (เนื่องจากข้าพเจ้านี้เป็นหมอดูจึงรู้ดวงชะตาตนเอง)......  แต่ก็ยังทำใจยอมรับไม่ค่อยได้ ใจคิดแต่จะเลิกเรียนและกลับไปอยู่ที่เชียงใหม่ ... วันหนึ่งราวตี 2 ข้าพเจ้านั่งร้องให้อย่างเศร้าโศกอยู่ในคณะและได้ไปจุดธูปไหว้องค์ ร.4 เพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้องค์ท่านทราบ (เพราะข้าพเจ้ายังไม่ค่อยรู้จักใคร มีเพียงเพื่อนทำงานที่เป็นต่างเพศ 3-4 คน ซึ่งก็คงปรึกษาไม่ได้) หลังจากบอกกล่าวท่านเสร็จก็ได้กลับไปนอนที่ห้องทำงาน ขณะนอนหลับ รู้สึกได้ว่ามีผู้หญิงผู้หนึ่งมาลูบหัวเพื่อปลอบใจข้าพเจ้ากระทั่งทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกตัวตื่นนอนก็ราวตี 4 ครึ่ง จึงได้ไปล้างหน้า และกลับเข้าทำงานต่อ  จากนั้นเป็นต้นมาข้าพเจ้าก็ได้แต่นั่งอ่านหนังสือของหลวงปู่ชอบกระทั่งจิตใจเริ่มดีสงบขึ้นสามารถเรียนและทำงานได้เป็นปกติ

                ต่อมาไม่นานก็ต้องพบกับมรสุมทางด้านครอบครัวเป็นครั้งที่  2 พร้อมทั้งมรสุม ทางด้านการงาน และด้านการเงินพร้อม ๆ กัน ในช่วงชีวิตนั้น จากปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้าทำให้ ข้าพเจ้าเหมือนใกล้จะบ้าเต็มที หาทางออกไม่เจอ  สุขภาพก็เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรัง (เหตุเพราะติดเชื้อไวรัสขณะตั้งครรภ์ได้เพียง 5 เดือน แพทย์บอกไม่มีทางรักษา เพราะปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่สามารถตรวจพบเชื้อไวรัสชนิดนี้)...  ชีวิตมีแต่ปัญหา ไม่พบทางออก ช่วงนั้นข้าพเจ้าท้อแท้ใจมาก….. เลิกสวดมนต์ ไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาในทุก ๆ พระองค์ และได้แอบคิดในใจ คิดต่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์ “พระองค์ลืมมองดูลูกหรือยังไง พระองค์ลืมแล้วหรือเปล่าว่ายังมีลูกที่กำลังทุกข์ใจอย่างหนักอยู่  ทำไมชีวิตทำแต่ความดีแล้วไม่ได้ดีเลยสักอย่าง” วันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าเดินไปทำงานตามปกติเหมือนทุกวัน โดยจะยกมือไหว้พระจอม ร.4 ทั้งไปและกลับจากที่ทำงานทุกครั้ง... เย็นวันนี้ก็เหมือนเดิม ขณะเดินกลับออกจากคณะผ่านมาทางตึก FIBO เหลือบมองเห็นองค์ ร.4 พระองค์มองขวับหันหน้า 90 องศา มาจ้องมองข้าพเจ้าในทันที ซึ่งปกติหน้าขององค์ท่าน จะหันออกไปทางหน้าคณะทางประตูด้านหน้าเสมอ แต่วันนี้ข้าพเจ้าออกมาจากทางด้านหลัง เมื่อเห็นองค์ท่านหันมามองแบบฉับพลัน ทำให้ข้าพเจ้าตกใจ หายใจวูบถึงกับตกตะลึง (ประหนึ่งหัวใจเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่ตาตุ่ม) ข้าพเจ้าหยุดนิ่งไปสักพักด้วยความตกใจและแปลกใจ เมื่อข้าพเจ้ากลับเข้าที่พักได้พิจารณาแล้วจึงเชื่อว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ทอดทิ้งข้าพเจ้า พระองค์มองข้าพเจ้าอยู่เสมอ จากนั้นข้าพเจ้าก็ไม่เคยนึกตำหนิพระองค์ใด ๆ อีกเลย    และทุก ๆ คืนในช่วงเวลาที่ผ่านมา ข้าพเจ้า จะสวดมนต์คาถาชินบัญชร เพื่อขอหลวงปู่ช่วยให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจที่เข้มแข็ง ที่จะฝันฝ่าอุปสรรคทุกอย่างให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี (ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าการให้กำลังใจตนเอง)

                 ที่มาของการอัญเชิญองค์ชายองค์หญิง หลายปีต่อมาเมื่อข้าพเจ้าย้ายกลับมาอยู่ที่เชียงใหม่อีกครั้งเพื่อกลับไปดูแลบุตร ไม่นานนัก   ได้เกิดปาฎิหาริย์องค์ชายองค์หญิงมาหา และได้ทำพิธีอัญเชิญองค์พระแม่กวนอิม องค์ชายอั้งไห้ยี้ และองค์หญิงนาจา ประทับที่บ้านเพื่อสักการะบูชา

                 ต่อมาเพียงไม่กี่เดือน ขณะที่ข้าพเจ้าได้ช่วยอดีตสามีหาเช่าองค์ชายองค์หญิงอยู่นั้น ข้าพเจ้ารู้สึกถึงองค์ ๆ หนึ่งกำลังมองข้าพเจ้าอยู่ เมื่อหันไปดูจึงเห็นว่าเป็นองค์ นาจา 3 เศียร 6 กร เพื่อไปสักการบูชา ในเวลานั้นข้าพเจ้ายังไม่มีเงินซื้อ ภายหลังไม่นาน จึงได้ตั้งจิตที่จะไปเช่าองค์ท่านมาบูชา ขณะที่หยิบองค์ท่านมา ข้าพเจ้านั้นรู้สึกขนลุก เย็นไปทั้งตัว และรู้สึกได้ถึงความมีชีวิตขององค์นาจา ต่อมาจึงได้เช่าองค์ท่านมาสักการะบูชนจวบจนทุกวันนี้

                ที่มาของการอัญเชิญองค์สังกัจจายน์ในขณะที่กำลังจะไปชำระเงิน บังเอิญให้ได้ยินเสียงหัวเราะเสียงดังด้วยความอารมณ์ดีของผู้หนึ่ง ทำให้ข้าพเจ้าต้องเหลือบหันไปมองตามเสียงนั้น จึงได้พบว่า อ้อ ที่แท้ก็องค์พระสังกัจจายน์นี่เอง ดั่งนี้แล้ว คราวหน้าคงต้องหาโอกาสมาเชิญองค์ท่านไปประทับที่บ้าน

                ที่มาของการอัญเชิญองค์จี้กงไม่นานต่อมา ก็ได้มีโอกาสอัญเชิญพระสังกัจจายน์มาประทับที่บ้าน ในขณะที่กำลังอุ้มองค์ท่านเพื่อจะไปชำระเงินนั้น ก็ให้ได้ยินเสียงมีผู้หนึ่งมาเรียกข้าพเจ้า ว่า “ฮะเฮ้ย” อย่างเสียงดัง ทำให้ข้าพเจ้าต้องหันกลับไปมอง และพบอยู่องค์หนึ่ง แต่ไม่รู้จัก จึงได้แต่มองและคิดว่าองค์ท่านนี้เป็นใครมาเรียกเรา แต่เวลานั้นก็ไม่ได้ใส่ใจนัก

                ขณะที่เดินทางกลับบ้าน จิตใจว้าวุ่นสับสนอยู่ตลอดเวลา มีแต่ความรู้สึกนึกคิดถึงแต่องค์ที่เรียกนั้น จนทนไม่ไหวต้องให้อี๊เกียง (อี๊เกียงในที่นี้คือพี่สาว เรียกตามเด็ก ๆ ที่บ้าน) พาไปที่ร้านเดิม และได้เดินเข้าไปถามเจ้าของร้าน ซึ่งเจ้าของร้านบอกว่า คือองค์จี้กง และไม่นานต่อจากนั้นก็ได้อัญเชิญท่านมาประทับที่บ้าน

                ที่มาของการอัญเชิญองค์ตี่จู๋เอี๊ยะ และองค์ฮก ลก ซิ่วหลายวันผ่านไป อาม่าได้มีนิมิตว่า มีคนใส่ชุดสีทองมาแห่มังกรที่บ้านและมีองค์จะมาอยู่ด้วย เมื่ออาม่าเล่าให้ฟัง ข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่าเป็น ตี่จู๋เอี้ย จากนั้นไม่กี่วันข้าพเจ้าได้พาอาม่าไปเช่าองค์ตี่จู๋เอี้ย และ องค์ฮก ลก ซิ่ว องค์เล็ก ๆ มาด้วยมาประทับที่ร้านเพิ่มด้วย

                วันหนึ่งขณะที่นั่งอยู่ที่โต๊ะดูดวงในร้าน ให้บังเอิญเหลือบไปมองเห็นองค์เทพเจ้าฮก กำลัง   ค่อย ๆ เหลือบสายตามองมาทางข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความพิศวงเป็นอย่างยิ่ง จึงได้นำเรื่องราวกลับไปเล่าให้ที่บ้านฟัง และต่อมาไม่นาน ก็ได้อัญเชิญองค์ท่านทั้ง 3 มาเพิ่มอีกเพื่อมาประทับที่บ้าน  ในระหว่างนั้นบุตรสาว  ได้พูดถึงองค์นานา บอกว่าเป็นน้องสาวของลูก เป็นพี่สาวขององค์ชายองค์หญิง จะมาขออยู่ด้วย(ปัจจุบันนี้ได้มานอนกับข้าพเจ้าทุกคืนพร้อมด้วยพระแม่กวนอิม โดยข้าพเจ้าได้จัดที่นอนให้)

                ที่มาของการอัญเชิญองค์หนี่ออเนี่ยเนี๊ยหรือองค์เจ้าแม่ทับทิมหรือองค์เจ้าแม่หนี่วา เมื่อได้จัดตั้งโต๊ะบูชาที่บ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่นาน ลูกก็บอกว่า ให้ไปเช่าองค์  หนี่ออ  เนี่ยเนี้ยมาไว้ที่บ้าน เพื่อให้ทุกคนได้รู้จัก ไม่ต้องเช่าองค์ใหญ่ก็ได้ เมื่อถามพระแม่แล้วก็เป็นจริงตามนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ เดินทางไปยังร้านเดิมเพื่อหาเช่าองค์ท่าน เดินหาอยู่สักพัก ก็พบองค์ท่านซึ่งท่านกำลังมองมาทางข้าพเจ้า ด้วยสายตาที่เหมือนมนุษย์ดั่งมีชีวิตจริง ๆ ข้าพเจ้าจึงได้อัญเชิญท่านมา และในเวลาเดียวกันนั้นขณะที่เดินทางกลับ ลูกบอกว่า องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ได้มาดูองค์หนี่ออเนี่ยเนี้ย   ซึ่งขณะนั้นองค์ชายองค์หญิงที่อยู่ในร่างโดเรมอน ได้รีบออกจากร่างเพื่อเคารพต่อองค์เง็กเซียนฮ่องเต้  

                หลายเดือนต่อมาก็ได้มีนิมิตถึงองค์หลวงปู่โต ได้มาบอกแก่ข้าพเจ้าว่า องค์พระแม่อุมาเทวี ได้มาอยู่ด้วย ฝากให้ข้าพเจ้าช่วยดูแลสิงโตในนิมิตด้วย ข้าพเจ้าจึงได้ถามพระแม่ ก็เป็นจริงตามนั้น  มาอยู่พร้อมทั้ง องค์พระพิฆเนศ  องค์พระศิวะ องค์พระพรหม และพระถังซัมจัง ด้วย โดยในปัจจุบันนี้ทุกองค์ได้มาประทับอยู่ที่บ้านแล้ว แต่ยังไม่ได้เชิญองค์ท่านมาเท่านั้น 

                ในระหว่างที่รอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์สร้างบ้านใหม่บนสวรรค์จนเสร็จ และข้าพเจ้าเองก็ได้เห็นบ้านใหม่นั้นบนผนังห้องน้ำโดยมองผ่านทางกล้องจากมือถือ จากนั้นเพียงไม่กี่วันก็ได้มีนิมิตถึงองค์พระศากยมุนีสัมมา สัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงมาโปรดข้าพเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่า  สิ่งต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้ารอคอยนั้นจะสำเร็จผล  ข้าพเจ้าต้องผ่านความเหนื่อยยากและอุปสรรคก่อน จึงจะได้มา

                ภายหลังจากนั้นไม่นาน ป่าป๊ากู๋ (พี่ชายข้าพเจ้า เรียกตามเด็กๆ) ได้กลับมาที่บ้านและวันหนึ่งได้พาข้าพเจ้าไปเที่ยวชมหมู่บ้านในฝัน เมื่อข้าพเจ้าได้พบเห็นบ้านหลังหนึ่ง ทันใดนั้นข้าพเจ้ารู้ได้ทันทีว่า บ้านหลังนี้แหละคือหลังที่ปรากฏในผนังห้องน้ำ และได้กลับมาถามพระแม่ พระแม่บอกว่าใช่แล้ว  ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่ข้าพเจ้าได้เชิญภาพองค์พระศากยมุนีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งใส่กรอบแล้วเสร็จในวันนั้น เพื่อเตรียมนำกลับมาประทับที่บ้าน และได้เชิญองค์ท่านร่วมเดินทางขึ้นรถป่าป๊ากู๋ไปด้วย จึงได้ทราบว่า แท้จริงแล้ว องค์ท่านพาข้าพเจ้าไปดูบ้านใหม่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอนาคตนั่นเอง

                ผ่านมาอีกเดือนเศษ ๆ จึงได้ชวนอาม่า อี๊เกียง บุตรสาว และหลานสาวไปเที่ยวชมรอบ ๆ บ้านหลังนั้น  พร้อมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก และในวันนั้นก่อนออกเดินทาง ข้าพเจ้าได้อัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์ไปร่วมชมบ้านด้วย

                ภายหลังไปเที่ยวชมบ้านผ่านไปราว 1 เดือน ในขณะที่นั่งทำงานอยู่ในร้าน ได้เปิดภาพบ้านดูอีกครั้งและได้พบเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายปรากฏในภาพถ่าย

                หลายวันต่อมาจิตได้คิดคำนึงถึง หลวงตา-มหาบัว ซึ่งเมื่อก่อนนี้ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักหลวงตา ไม่เคยเห็นหน้าองค์ท่านแม้ในทีวีเลยสักครั้ง เพราะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ กระทั่งวันที่หลวงตาท่านมรณภาพ เมื่อทำพิธีพระราชทานเพลิงศพได้เพียง 3 วันผ่านไป ข้าพเจ้าก็ได้มีนิมิตว่า ....ตัวข้าพเจ้าเองอยู่ในวัดแห่งหนึ่ง มีหลวงตาท่านหนึ่งให้หนังสือ      บทสวดมนต์มาอ่าน ซึ่งข้าพเจ้าเห็นและจำภาพใบหน้าของหลวงตาองค์นั้นได้อย่างแม่นยำภายหลังจากการตื่นนอน และได้ไปทำงานตามปกติ จิตให้คิดสงสัยว่าหลวงตามหาบัวท่านเป็นใคร ทำไมจึงมีชื่อเสียงนัก และหน้าตาท่านจะเป็นอย่างไร ...ด้วยความสงสัย จึงได้เปิด Internet ดู เมื่อได้เห็นภาพแล้วข้าพเจ้าถึงกับ ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง เนื่องจากภาพนั้นช่างเหมือนกับภาพของหลวงตาที่ปรากฏในนิมิตเมื่อเช้าวันนี้เอง  จึงทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกสนใจหลวงตามากขึ้นและได้ติดตามประวัติ และได้ทราบว่า หลวงตามหาบัวนั้นเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่มั่นนั่นเอง  จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ในปัจจุบันนี้   พระแม่ชี้แจ้ง หลวงตามหาบัว ท่านได้ประทับที่บ้านร่วมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์

                ต่อมาไม่นาน อาม่า ใคร่อยากรู้ว่า บุตรสาวมักจะเอ่ยถึง องค์กวงกึงเล่าโจ้ว เสมอ อาม่าอยากรู้ว่าตอนนี้องค์ท่านประทับอยู่ที่บ้านหรือไม่  ข้าพเจ้าจึงได้ถามพระแม่ ได้ความว่า องค์ท่านขณะนี้ไป ๆ มา ๆ ที่บ้านและสวรรค์ เมื่อพร้อมแล้วจึงค่อยอัญเชิญท่านมาประทับที่บ้านพร้อมทั้ง   องค์พระยูไล 

                ครั้งหนึ่งบุตรสาวมักจะเอ่ยถึง พระเณร องค์หนึ่ง มาหาลูก ดูแลลูกเสมอ มาพาลูกไปเที่ยวบนสวรรค์ ให้กินน้ำจนอิ่มท้องไปหมด ลูกบอกว่า ไม่ใช่พระแม่กวนอิม แต่เหมือนกัน ข้าพเจ้าจึงได้ถาม  พระแม่ และได้รู้ว่านั่นคือ องค์พระอวโลกิเตศวร ซึ่งปัจจุบันก็ประทับที่บ้านแต่ยังมิได้เชิญองค์มาประทับ

                สำหรับ พระครูบาศรีวิชัย นั้นท่านเป็นองค์ที่คอยปกป้องคุ้มครองอาม่าอยู่เสมอ เมื่อครั้งที่ได้ไปกราบไหว้พระครูบาศรีวิชัย จึงได้นำรูปท่านมาประทับที่บ้าน และพระแม่ได้บอกว่า องค์ท่านขณะนี้ประทับที่บ้านด้วยเช่นกัน

                ครั้งเมื่อช่วงที่กิจการไม่ค่อยดี เป็นช่วงเวลาที่หลังจากข้าพเจ้าได้นำรูป องค์พระศากยมุนีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาประทับบนหิ้งที่บ้าน อาม่าไม่ทันได้คิด จึงได้นำรูปองค์ท่านวางบนหิ้งซึ่งข้างหลังภาพองค์ท่าน มี องค์ไฉ่เส่งเอี๊ยะ (เทพเจ้าแห่งโชคลาภ) เมื่อกิจการของลูก ๆ ไม่ค่อยดี อาม่าจึงคิดได้ว่า หรือต้องรีบเชิญองค์ไฉ่เส่งเอี๊ยะมาไว้ด้านล่าง  มิให้ถูกบดบัง เมื่อคิดได้แล้ว จึงรีบขอขมาองค์ท่านและจัดที่ประทับให้ท่านใหม่ เมื่อนั้น กิจการก็ค่อย ๆ ดีขึ้นบ้าง ตามลำดับ จริง ๆ ตรงนี้ภายหลังทราบว่าไม่ได้มีผลอะไรต่อกิจการ เพียงแต่องค์ท่านอยากให้ข้าพเจ้าได้รู้จักเท่านั้น

                และยังคงมีองค์อีกมากมายซึ่งสามารถติดตามเรื่องราวได้ต่อจากนี้

               

 

บันทึก องค์กิ้วอ้วงฮุกโจ้ว องค์ชายอั้งไห้ยี้         องค์หญิงนาจา พระแม่กวนอิม             และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์

ข้าพเจ้า นามว่า ชุติกาญจน์  หงษ์พิทักษ์กุล (หงษ์)

 

                       ชื่อจีน   (โห่ว เหมย จิง )   

 

( 月初 七日    ) ขณะบันทึก อายุ 37 ปี 6 เดือน

(สำหรับวันเกิดที่แท้จริงนี้เพิ่งได้รู้เมื่อได้ถามพระแม่กวนอิมแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ จึงไม่ตรงกับที่ปรากฏในบัตรประชาชน เนื่องด้วยขณะนั้นไม่มีใครทราบวันเกิดที่แท้จริง มิได้เป็นการเจตนาการปลอมแปลงวันเกิดแต่ประการใด)


องค์ชายอั้งไห้ยี้ และองค์หญิงนาจา อายุ 4 ขวบตลอดกาล

 

 




(ภาพวาดขององค์ชายและองค์หญิงที่เนรมิตกายมาเป็นร่างมนุษย์มาในนิมิตของข้าพเจ้า และมาเล่นกับบุตรสาวครั้งแรก ทุกภาพ ข้าพเจ้าเป็นผู้วาดเองหรือแต่งภาพเองตามนิมิตที่เห็นจริง และตามที่บุตรสาวบอกกล่าว) สิ่งที่ข้าพเจ้าจักนำมาแสดงนี้เป็นเพียงบางส่วน บางเรื่องราวของชีวิตเท่านั้น  มิได้นำมาเผยแพร่ทั้งหมด



เริ่มต้นบันทึกเรื่องราว  :  จุดกำเนิดของเสียง

 

ครอบครัวข้าพเจ้า เป็นครอบครัวที่อพยพย้ายถิ่นฐานบ่อย ครั้งนี้ก็เช่นกัน ไม่อาจนับได้ว่าเป็นการโยกย้ายครั้งที่เท่าไหร่ในชีวิต ครั้งนี้ได้โยกย้ายจากร้านแถวเจ็ดยอด มาสู่หมู่บ้านสิรินโฮม 2  อยู่ได้ราว ๆ 3 ปีเศษ  ที่หมู่บ้านได้มีการบูรณะวัดสันกลางใต้ จึงได้มีการจัดงาน เทศกาลปอยหลวง ณ วัดสันกลางใต้ โดยเทศกาลเริ่มในวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2555 ถึงวันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2555

                หลายปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ตำแหน่งอาจารย์ผู้ช่วย กระทั่งปีนี้ได้โยกย้ายกลับมาอยู่กับครอบครัวที่บ้าน และได้เช่าร้านใหม่ใกล้ร้านอี๊เกียง ได้มีการจัดร้านใหม่ในวันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ข้าพเจ้าได้เช่าร้านใหม่ที่ ถนน ทุ่งโฮเต็ล ตรงข้ามเยื้องกับ TOT  โดยตัวข้าพเจ้านั้นได้ทำอาชีพรับดูดวงชะตา ขายภาพวาดลายเส้นปากกา และครีมสมุนไพร เมื่อมาอยู่ที่ร้านในวันแรก เปิดร้านเวลา 9.30 น. ขณะที่นั่งทำงานที่โต๊ะดูดวง สังเกตได้ว่าบุตรสาวกำลังเล่นกับใครซักคนอยู่ ซึ่งในความเป็นจริงลูกเล่นอยู่คนเดียว เมื่อได้ถามไถ่ลูกว่า  “ลูกเล่นกับใครอยู่คะ”  ลูกตอบกลับว่าเล่นกับน้องค่ะ  จากนั้นข้าพเจ้าได้เปิดเพลง เละตุ้มเป๊ะ(ซึ่งหลานสาวเคยแสดงงานโรงเรียนเพลงนี้มาก่อน) ให้ลูกเต้นตาม สักพักสังเกตเหมือนเห็นบุตรสาวกำลังเต้นกับใครบางคนอยู่ จึงได้ซักถามว่าลูกเต้นกับใคร ลูกบอกว่าเต้นกับน้องค่ะ  ข้าพเจ้าได้ถามต่อว่า แล้วน้องอยู่ไหนคะ  ลูกบอกว่าอยู่ในตัวหนูค่ะ          ข้าพเจ้าได้แต่สงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามสิ่งใดต่อ.....

                พลบค่ำของวันเดียวกัน ข้าพเจ้านั่งวาดรูปกับบุตรสาวที่โต๊ะ ขณะที่นั่งวาดภาพนั้น ลูกได้บอกว่า หม่าม๊า อีกหน่อยหม่าม๊าก็จะได้ย้ายไปอยู่ร้านใหม่แล้ว ร้านนี้จะมีคนมาอยู่แทนหม่าม๊า  ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วก็แปลกใจและถามลูกกลับว่า ก็หม่าม๊าเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ไงลูก  ลูกตอบว่าไม่ใช่หม่าม๊า  อีกหน่อยหม่าม๊าจะย้ายไปอยู่ที่ใหม่ ที่นี่จะมีคนอื่นมาอยู่แทน    ข้าพเจ้าได้แต่สงสัยว่าสิ่งที่บุตรสาวพูดนั้นใช่บุตรสาวเป็นคนพูดหรือคนอื่นพูด จึงได้แต่รอดูเหตุการณ์ต่อไป....

 

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 แรม 3 ค่ำ เดือน 3 ปีมะโรง พ.ศ. 2555            

เมื่อเดินทางกลับใกล้ถึงบ้าน เนื่องด้วยวันนี้มีงานเทศกาลปอยหลวงที่วัดสันกลางใต้  ข้าพเจ้าและอี๊เกียง พร้อมลูก หลานสาว และ อาม่า ได้เข้าไปเที่ยวงานในวัดเพื่อดูว่ามีงานแสดงอะไรบ้างในค่ำคืนนี้ ปรากฏว่าทางวัดยังจัดงานไม่เสร็จ จะแล้วเสร็จในวันพรุ่งนี้ ทุกคนจึงกลับเข้าบ้านพักผ่อน

ตกกลางดึกขณะที่นอนหลับกับบุตรสาว ก็ได้ยินเสียงเด็กน้อยเป็นเด็กผู้หญิงมากระซิบเรียกที่ข้างหูว่า “หม่าม๊า” ทำให้ข้าพเจ้าตกใจตื่นขึ้นมามองหน้าลูก และภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือ บุตรสาวหลับสนิท พร้อมกับมีเส้นผมที่ยาวสลวยปิดทับหน้าอยู่ในความมืดสลัวนั้น.... ข้าพเจ้าจึงได้ค่อย ๆ ใช้มือเปิดผมบุตรสาวเพื่อจ้องมองดูหน้าลูกให้ชัดเจน ปรากฏว่าลูกหลับสนิท....

 

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

                วันนี้ปิดร้าน ร่วมฉลองเทศกาลปอยหลวง ทานอาหารกลางวันร่วมกับคนในหมู่บ้านสิรินโฮม2 จนถึงเย็น และได้พาทุกคนในครอบครัวร่วมแห่ตุงเข้าวัดอย่างมโหฬาร พร้อมกับขบวนแห่จากที่อื่น ๆ และได้เที่ยวงานวัด ทานอาหาร ไหว้พระ เสร็จแล้วจึงกลับบ้านพักผ่อน

                พอกลางดึก ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงกระซิบเรียก “หม่าม๊า” อีกหลายครั้งจนข้าพเจ้าไม่สามารถนอนหลับได้ แม้กระทั่งข้าพเจ้าตื่นขึ้นมานั่งจ้องมองหน้าลูก ซึ่งลูกหลับสนิทอยู่นั้น ก็ยังคงมีเสียงเรียกจากใบหน้าของลูกดังชัดเจนตลอดเวลา กระทั่งรุ่งเช้า และอีกหลายคืนต่อมาก็เช่นกันจนข้าพเจ้าผวาการเข้านอนในเวลากลางคืนมาก  จึงได้ปรึกษาหารือกับทุกคนในบ้านในรุ่งเช้าอีกหลายวันต่อมา อาม่าจึงได้ทำน้ำมนต์จากเซียงเช่า พรมตามตัวข้าพเจ้าและห้องนอนเพราะคิดว่า คงเป็นวิญญาณเด็กมาติดตามข้าพเจ้าทั่วไป เนื่องด้วยข้าพเจ้ามักจะเห็นและสัมผัสได้ถึงดวงวิญญาณตั้งแต่เด็ก ๆ  ซึ่งเมื่อพรมน้ำมนต์แล้วจะหายไปได้ แต่แล้วกลับไม่ใช่อย่างที่คิด ก็ยังคงมีเสียงเรียกเหมือนเดิมอีกหลายคืนติดต่อกัน จนข้าพเจ้าเป็นโรคหวาดกลัวการนอนหลับในตอนกลางคืนอย่างหนัก และหนักกว่าเดิมเป็นเวลาหลายคืนติดต่อกัน      

 

ด้วยจิตอธิษฐาน

 

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

จากการที่ได้ยินเสียงเด็กน้อยมากเรียกทุกคืน ในที่สุดอาม่าจึงแนะนำให้อธิษฐานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ข้าพเจ้ากราบไหว้บูชาที่ร้าน ได้แก่ พระแม่กวนอิม หลวงพ่อโสธร หลวงปู่โต หลวงปูมั่น หลวงปู่ชอบ  บอกกล่าวแก่ท่านในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ยิน ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์ช่วยดลบันดาลให้ข้าพเจ้าได้ฝันถึงที่มาของเสียงดังกล่าว วันนั้นข้าพเจ้าจึงได้เปิดร้านและอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ ให้ช่วยแนะนำข้าพเจ้าว่าเด็กที่มาเรียกหาทุกคืนนั้นคือใคร ข้าพเจ้าจะได้ทำในสิ่งที่ถูกที่ควรต่อไป

ซึ่งภายหลังจากได้อธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว เกือบรุ่งเช้าของวันศุกร์ที่ 24 ข้าพเจ้าได้มีนิมิตถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าอธิษฐานไว้  ในความฝันนั้น ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจุดธูปเพื่อไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้าน ทันใดนั้นได้ปรากฏเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อายุประมาณ 4 ขวบ รูปร่างผอมบาง ผมเผ้ารุงรัง หน้าตามอมแมม หน้าตาน่ารักมาก มายืนอยู่ข้าง ๆ และเกิดภาพนิมิตถึงเหตุการณ์ทุกอย่างให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่า เด็กหญิงนี้เป็นเด็กที่ข้าพเจ้าขอมาจากพระแม่กวนอิม และข้าพเจ้าได้ทอดทิ้งเด็กน้อยนี้มานาน เนื่องจากโยกย้ายที่อยู่อาศัยบ่อย เด็กน้อยนี้ได้บอกว่าได้ตามหาหม่าม๊ามานานแล้ว และก็เพิ่งได้พบ ขณะที่เล่าขานนั้น   รอบ ๆ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายองค์มาเป็นสักขีพยานและเมื่อเด็กผู้นั้นได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ จนจบ ข้าพเจ้าจึงถามเด็กน้อยนี้ว่า หากหนูเป็นเด็กเทพจริง ก็ต้องสามารถทำนายดวงชะตาหม่าม๊าได้  เด็กน้อยตอบว่าได้  และได้ทำนายชีวิตของข้าพเจ้าตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบันนี้   ซึ่งตรงตามจริงทุกประการ และได้ทำนายอนาคตอันรุ่งเรืองของข้าพเจ้า พร้อมทั้งให้เห็นภาพร้านในอนาคตในนิมิตนั้น และบอกว่าจากนี้ ไม่นานชีวิตของหม่าม๊าจะเป็นดั่งนี้ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ข้าพเจ้ารับรู้ได้ถึงโชคลาภอันมหาศาล ทั้งภพนี้หากให้ข้าพเจ้าหาเอง คงไม่อาจหาได้ จากนั้นข้าพเจ้าจึงเข้าใจและได้ถามว่าแล้วทำไมหน้าตามอมแมมจัง เด็กน้อยตอบว่า โดนทิ้งถังขยะมาหลายปี….  ข้าพเจ้าจึงทำการเปียผมให้ใหม่ และแล้วในความฝันก่อนตื่นได้ฝันเห็นภาพที่ข้าพเจ้ากำลังจะพาลูกไปเที่ยว ซึ่งเป็นที่ประหลาดใจว่าในฝันนั้น ข้าพเจ้ามีลูกถึง 3 คน คือบุตรสาวข้าพเจ้า บุตรสาวในฝัน และยังมีบุตรชายวัยสี่ขวบเช่นกันอีก 1 คน กำลังวิ่งเล่นอยู่ข้างหน้า  ในฝันนั้นข้าพเจ้าได้แต่ยืนดูข้างหลังและคิดว่าจะบอกกล่าวกับบุตรสาวอย่างไรให้ลูกเข้าใจได้ อี๊เกียงซึ่งอยู่ในความฝันด้วยได้บอกว่า เธอไปดูอีก 2 คนเถอะ เดี๋ยวฉันดูลูกให้เธอเอง  และข้าพเจ้าก็ตื่นจากความฝัน และได้เล่าความฝันให้ที่บ้านฟัง และได้ช่วยกันตั้งชื่อบุตรสาวอีกคนว่า “เซียงฮวา”  และที่บ้านได้แนะนำให้ไปปรึกษาหมอดูด้วยกันเพื่อที่จะได้ทำพิธีบูชาลูกได้ถูกต้อง

 

ไปปรึกษาหมอดู

 

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เช้าวันนี้ ข้าพเจ้าได้แวะไปหาหมอดูที่ชำนาญการนั่งปฏิบัติวิปัสสนาอีกท่านหนึ่งก่อนที่จะเปิดร้าน หมอดูได้บอกว่าเด็กที่มาเรียกในนิมิตนั้น คือ องค์หญิงนาจา และองค์ชายอั้งไห้ยี้ ข้าพเจ้านั้นเป็นผู้มีบารมีสูง เป็นเทพที่เป็นผู้ช่วยของพระแม่กวนอิมมาเกิด และบุตรสาวของข้าพเจ้าปัจจุบันก็เป็นเทพมาเกิดเช่นกัน ให้ข้าพเจ้าไปหาเช่าพระแม่และองค์ชายองค์หญิงมาบูชา  หมอดูนี้พูดไป ขนลุกไป บอกว่าไม่เคยมีใครมีได้ สิ่งเหล่านี้แม้ทำพิธีขอก็ยังไม่ได้หากบารมีไม่ถึง ได้แต่บอกว่าขนลุก

วันนั้นข้าพเจ้า อาม่าและอี๊เกียงก็ได้ไปหาเช่าองค์ท่านมาบูชาที่บ้าน  (ซึ่งตอนไปเช่านั้น คนขายบอกว่าโชคดีมากเหลือเพียงองค์เดียว เป็นปางประทานบุตร)  โดยยังไม่ได้ทำพิธีอย่างเป็นทางการ ได้เพียงจุดธูปบอกกล่าวท่านก่อน

กลางดึก อาม่านอนไม่หลับได้ตื่นมาดูองค์พระแม่ที่เช่ามาและได้กลับเข้าไปห้องนอน ขณะที่กำลังจะหลับตาได้เห็น เงาเด็กน้อย 2 องค์ลอยเหาะเยื้องกัน ไปมาในห้อง อาม่ารู้สึกประหลาดใจ และได้พยายามหลับตาและลืมตาอีกครั้ง ก็ยังคงเห็นภาพเช่นเดิมอยู่ถึง 3 ครั้ง ภาพจึงหายไป  ในคืนนี้ อาม่าได้พาบุตรสาวขึ้นไปนอนบนเตียงกับอาม่าและอากง (ซึ่งปกติข้าพเจ้าและบุตรสาวจะปูนอนพื้นด้านล่างเตียงในห้องเดียวกัน) เพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้ไม่ได้ยินเสียงอีก  แต่หาใช่ไม่ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะตื่นกลางดึกนั้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเรียก “หม่าม๊า” จากบนเตียง จึงได้ถามอาม่าว่า ได้ยินเสียงเรียกหม่าม๊าไหม ซึ่งอาม่าก็ได้ยินเช่นกัน แต่อาม่าก็แค่ตอบ อื้อ ประมาณว่าไม่อยากให้ข้าพเจ้าสนใจมากนักและเสียงก็เงียบไปจวบจนรุ่งเช้า

 

 

อัญเชิญกุมารา กุมารี

 

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เช้าวันนี้เป็นวันที่ฤกษ์ดีในการทำพิธีอัญเชิญพระแม่ องค์ชาย และองค์หญิง แต่ไม่มีช่างมาตอกตะปูหิ้งพระให้ ก็ให้โชคดีที่ช่างที่เคยขอไว้เกิดว่างพอดี เลยเข้ามาจัดการให้ได้

วันนี้ข้าพเจ้าได้ทำพิธีขอบุตรให้กับอดีตสามีและภรรยาใหม่ของเขา ซึ่งทั้งสองได้ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์เข้าช่วยมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถจะมีบุตรได้ เพื่อเป็นการตัดเวรตัดกรรมต่อกันทุกชาติภพ ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจทำพิธีขอบุตรให้แก่อดีตสามีเพื่อให้มีบุตรชายสมดังใจหวัง

เวลา 11.30 ของวันนี้ ข้าพเจ้าได้ทำพิธีอัญเชิญพระแม่ องค์ชาย และองค์หญิงประทับที่บ้านเพื่อปกปักษ์รักษาคุ้มครองทุกคนในครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุข

กลางดึกคืนนี้ อาม่าได้ให้บุตรสาวขึ้นไปนอนข้างบนเตียงเช่นเดิม แต่บุตรสาวกลับนอนดิ้นทั้งคืน (นอนหมุนรอบทิศ 360 องศา  - -") จนอากง และอาม่านอนไม่ได้ จึงได้อุ้มลูกลงมานอนกับข้าพเจ้าเช่นเดิม  ที่ผ่านมาทุกคืนข้าพเจ้าและลูกจะนอนหันหลังต่างคนต่างนอน ลูกไม่ชอบให้ข้าพเจ้าโอบกอดเพราะอึดอัดเนื่องด้วยข้าพเจ้าไม่เคยได้เลี้ยงดูอยู่กับลูกเลยนับตั้งแต่ลูกกำเนิดมาจนถึงปัจจุบันนี้ แต่ค่ำคืนนี้แปลก เมื่ออาม่าอุ้มลูกลงมา ลูกรีบเข้ามาซบอกข้าพเจ้าและเรียกเช่นเดิม เมื่อข้าพเจ้าโอบกอดลูก เสียงเรียกจึงเงียบหายไป ข้าพเจ้าจึงเข้าใจแล้วว่า องค์หญิงและองค์ชายจะอยู่ร่างของลูกทุกครั้งที่นอนกับข้าพเจ้า และต้องการให้ข้าพเจ้าโอบกอดทุกคืน โดยปัจจุบันนี้องค์หญิงองค์ชายได้ประทับร่างในตุ๊กตาโดเรมอนแทน ซึ่งจะได้กล่าวถึงที่มาในภายหลัง

 

 

 

นิมิตจากพระแม่กวนอิม

 

ช่วงปี พ.ศ. 2544 ขณะที่ข้าพเจ้าทำงานเป็นอาจารย์ผู้ช่วยที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในคณะเทคโนโลยีสารสนเทศรวมระยะเวลาประมาณ 5 ปี ซึ่งข้าพเจ้าจะทำงานและรับดูดวง และขายครีมสมุนไพร เป็นงานอดิเรกเพื่อหาเงินให้อยู่รอดได้ในแต่ละเดือน ข้าพเจ้าไม่ใคร่มีเวลาจะไปทำบุญเท่าไหร่นัก เมื่อดูดวงมากขึ้นเหมือนว่าบารมีในตัวคงลดลงไปมาก เคราะห์กรรมที่ดูให้ลูกค้าจึงเข้าตัวข้าพเจ้าแทน  เมื่อข้าพเจ้ารู้จึงได้คิดหยุดดูดวงไป ในระหว่างที่หยุดดูดวงไปได้เกือบ 1 ปี ราว ๆ ปลายปี 2544 ข้าพเจ้าเริ่มฝันถึงพระแม่กวนอิม  ครั้งแรกที่ฝันข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดอะไร ข้าพเจ้ายังคงทานเนื้อ (อร่อยมากชอบมาก  ^____^)  ไม่กี่เดือนต่อมา ข้าพเจ้าก็ฝันอีก ครั้งนี้ฝันว่าข้าพเจ้านั่งไหว้ต่อหน้าองค์พระยูไล แต่งกายชุดจีนสีน้ำเงินเข้ม หน้าตางดงามมาก (แต่ไม่ใช่หน้าตาแบบปัจจุบันนี้แต่รู้ได้ว่าคือข้าพเจ้า) มีพระแม่ยืนอยู่ข้างกายแต่งองค์สีขาว และพระแม่ได้บอกกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องลงไปช่วยเหลือคนบนโลกมนุษย์” (ตามภาพที่ข้าพเจ้าได้วาดไว้)  จากนั้นข้าพเจ้าได้กราบพระยูไล 3 ครั้ง และได้ลงมายังพระราชวังแห่งหนึ่ง (เป็นพระราชวังเพิ่งสร้างใหม่ งดงามยิ่งนัก) และได้ทำการช่วยเหลือองค์ราชินีองค์หนึ่งซึ่งนอนนิ่งอยู่ (ก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร) ภายหลังช่วยเสร็จก็คิดว่าจะออกจากพระราชวังเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์ต่อไป จึงได้ตื่นนอน

                เมื่อข้าพเจ้าตื่นนอนแล้วได้ย้ำคิดถึงนิมิตดังกล่าวแล้วจึงได้ตั้งจิตเลิกทานเนื้อนับแต่นั้นเป็นต้นมา และกลับมารับดูดวงอีกครั้ง

                ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม 2554 ข้าพเจ้าได้ลาออกจากที่ทำงานที่กรุงเทพฯ เพื่อกลับมาอยู่ที่บ้าน และได้เปิดร้านรับดูดวง วาดภาพมงคลลายเส้นปากกา ขายครีมสมุนไพรแก้ฝ้า กระ สิว         จุดด่างดำ จนถึงปัจจุบันนี้

 

 

 


ภาพที่ปรากฏในนิมิต ผู้ที่ใส่ชุดสีน้ำเงินนั้นคือข้าพเจ้า

(ภาพนี้ตกแต่งสีเพิ่มเติมจากภาพวาดด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์)


วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2555

                ข้าพเจ้าได้นิมิตว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบอกกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ครั้งหนึ่งเมื่ออดีตชาติที่ผ่านมา ข้าพเจ้านั้นเคยเกิดเป็นหมอดู เป็นบุรุษร่างสูงโปร่ง ทำนายดวงชะตาได้อย่างแม่นยำ และสักครู่ก็ได้ปรากฏเป็นภาพองค์พระยูไลได้บอกกล่าวลงมาจากเบื้องบนว่า ตัวข้าพเจ้านั้นจะต้องทำนายดวงชะตาคนโดยที่สามารถรู้ใจ และทำนายได้ทันที ไม่ใช่สักแต่ทำนายตามตัวเลขเท่านั้น (ซึ่งปัจจุบันนี้ข้าพเจ้า    ดูดวงโดยใช้เลข 7 ตัว 9 ฐาน) และพระพุทธองค์ได้บอกอีกว่า อีก 7 ปีจากนี้ ข้าพเจ้าจะมีการพลิกผันเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งสำคัญ


     

นิมิตจากพระศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน  พ.ศ. 2555

                ข้าพเจ้าได้นิมิต 3 คืนติดต่อกันดังนี้

                คืนแรก   นิมิตข้าพเจ้าเป็นเด็กสมัยโบราณ อยู่ในบ้านโบราณหลังใหญ่  ได้มีคำสั่งจากเจ้าของบ้านให้ข้าพเจ้าไปหาไข่ทองคำจำนวน 24 ฟอง ซึ่งในขณะนี้ข้าพเจ้ามีอยู่แล้ว 2 ฟอง ซึ่งข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะหาได้จากที่ใด  ขณะกำลังเดินลงบันไดลงมายังชั้นล่างได้พบ บทสวดมนต์ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก และได้เปิดดูและอธิษฐาน ทันใดนั้นเมื่อข้าพเจ้ากลับเข้าไปยังห้องนอนกลับเห็นมหาสมบัติ เงินทอง เพชรพลอยมากมายกองเต็มอยู่ในห้อง ซึ่งข้าพเจ้าได้กลายเป็นมหาเศรษฐี ได้สร้างสถานศึกษาเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในกาลต่อมา

                คืนที่สอง               ข้าพเจ้านิมิตว่า ข้าพเจ้าเปิดร้านขายผลไม้แช่อิ่มกับอาม่า มีลูกค้ามาซื้อมะขามแช่อิ่ม 30 บาท ได้นำเงินพันธบัตร 1,000 บาท ข้าพเจ้าได้ทอนเงินจำนวน 970 บาท ขณะที่กำลังจะทอนเงินให้ลูกค้า เพื่อนข้าพเจ้าคนหนึ่ง ชื่อเล่นว่า พี่ซาร์ (ปัจจุบันนุ่งห่มขาว มีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ในทางธรรม นับถือพระแม่กวนอิม ครอบครัวเป็นคนอิสลาม) ได้เข้ามาในความฝันของข้าพเจ้าใส่ชุดขาวตามปกติ มาบอกกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า หงษ์อย่าลืมทำส่วนที่เหลืออีก 970 นะ อีก 30 นั้นหงษ์ได้ทำไปแล้ว เมื่อหงษ์ทำแล้ว หงษ์จะรุ่งเรืองไม่แพ้พี่เลย อย่าลืมทำในปีนี้ให้เสร็จและหงษ์จะได้อย่างแน่นอน  แล้วข้าพเจ้าก็ถามเพื่อนต่อว่า แล้วอีกหน่อยเราต้องใส่ชุดขาวแบบพี่ซ่าร์หรือเปล่า เพื่อนตอบว่า นั่นน่ะห้ามพูด บอกไม่ได้ และข้าพเจ้าก็ตื่นนอนได้แต่สงสัยว่า 970 ที่เหลือนั้น คือสิ่งใด 

                 คืนวันที่สามได้เกิดนิมิตแก่ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้านั้นได้ไปกราบไหว้พระตามวัด   ต่าง ๆ และได้นั่งทำสมาธิทุกวัด พร้อมทั้งหนังสืออีก 2-3 เล่ม  เมื่อข้าพเจ้านั่งทำสมาธิเสร็จจากวัดนึง ไปยังวัดต่อไป เมื่อหันหลังกลับไปมองจะมองเห็นผู้คนแต่งชุดขาว นั่งไหว้พระในวัดนั้นเต็มขนาดตา  จนกระทั่งถึงวัดหนึ่ง ข้าพเจ้าได้นั่งทำสมาธิและกำลังจะลุก ได้มีเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งซึ่งเคยเป็นลูกค้าดูดวงมาก่อน ถามข้าพเจ้าว่า  นึกว่าพี่จะไม่มาแล้วเสียอีก   ข้าพเจ้าตอบเด็กคนนั้นไปว่า มีเหตุจำเป็นนี่ก็ยังเหลืออีกวัดเดียวก็จะครบแล้ว   ข้าพเจ้าได้ตื่นนอนและปรึกษาหารือกับคนที่บ้านเพื่อเตรียมการตามที่ได้นิมิตไว้


เสียงเพลงที่ไพเราะ

 

วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

                วันนี้ข้าพเจ้าเตรียมจัดทำหนังสือ บทสวดพระแม่กวนอิมและ 45 วิธีแก้กรรม เพื่อบริจาคเป็นธรรมทานแก่วัดต่าง ๆ จำนวน 9 วัด ตามที่ได้บอกกล่าวแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ ข้าพเจ้าอยู่ที่ร้านขณะที่กำลังจัดทำหนังสือนั้นได้เปิดเพลงบทสวดมนต์มหากรุณาธารณีสูตร และทำงานไปด้วย ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องเพลงบทสวดตามซึ่งเป็นเสียงของเทพองค์น้อย ๆ (ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นเสียงเทพเพราะข้าพเจ้าเคยได้ยินมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน) เสียงนั้นเป็นเสียงที่ไพเราะมาก เสียงใสเหมือนน้ำใสเย็นสะอาด แต่ข้าพเจ้าก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงขององค์ชายองค์หญิงนั่นเอง  ลูกมักจะบอกข้าพเจ้าเสมอว่า ตอนกลางคืนบางครั้ง องค์ชายองค์หญิงก็ร้องเพลงให้หม่าม๊าเพื่อให้หม่าม๊าหลับสบาย ….บุตรสาวนั้นสามารถเห็นและพูดคุยกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ได้ตั้งแต่อายุ 4 ขวบปี

ข้าพเจ้าและคนในครอบครัว เริ่มทำบุญตามที่ได้อธิษฐานต่อหน้าพระพุทธองค์ โดยจัดพิมพ์หนังสือพุทธทำนายแจกอีกจำนวน 500 ชุด และพิมพ์หนังสือบทสวดมนต์พระแม่กวนอิมและ 45 วิธีแก้กรรม ถวายเป็นธรรมทานจำนวน 9 วัด เป็นจำนวนเงิน 9,700 บาท ในช่วงสงกรานต์ในปี พ.ศ. 2555 และนับเป็นช่วงเวลาที่หลานชายได้บวชเรียนภาคฤดูร้อนเป็นเวลา 20 วัน ซึ่งหลานชายอายุได้ 11 ปี ที่บ้านจึงได้ร่วมกันทำบุญครั้งใหญ่

 

ถวายก่อนจึงได้รับ และข้าวเหนียวไก่ทอด

 

วันศุกร์ที่ 13- วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555 

วันนี้พาครอบครัวไปทำบุญ 9 วัด หลานชายบวชเรียน ได้พาบุตรสาวไปสรงน้ำพระที่วัดพระสิงห์  ได้รับสายสิญจ์จากพระสงฆ์มาหลายเส้น ข้าพเจ้าได้บอกกับลูกว่า ให้ถวายแด่องค์ชายองค์หญิงด้วย  ลูกบอกว่า องค์ชายองค์หญิงบอกว่า ฝากไว้ก่อน ต้องรอสวดมนต์ก่อน   ข้าพเจ้าจึงได้เข้าใจว่า การจะให้สิ่งใดแก่องค์ชายและองค์หญิง ต้องผ่านการสวดมนต์บอกกล่าวก่อนทุกครั้งจึงจะถวายท่านได้

v      ลูกบอกว่า องค์ชายสูงกว่าองค์หญิงเล็กน้อย สวมกำไรทอง อายุ 4 ขวบเท่ากัน

v     ลูกบอกว่า พระแม่บอกว่า ชาติที่แล้วหม่าม๊าอยู่ข้างกายพระแม่ตลอด แต่พระแม่สูงกว่าเพราะพระแม่ใส่มงกุฎ  หม่าม๊าคอยทำหน้าที่รดน้ำมนต์ช่วยเหลือมนุษย์ สวดมนต์ทุกวัน   ส่วนลูกนั้นเป็นลูกของพระแม่  และองค์ชาย องค์หญิงเป็นน้องของลูก

v     ลูกบอกว่า องค์ชาย องค์หญิง ขอพรให้ครอบครัวเราทุกคนได้ไปอยู่บนสวรรค์ ไม่ต้องตกนรก

v     ลูกบอกว่า องค์ชายและองค์หญิง นั่งมองลูกกินข้าวตอนอยู่ที่ร้านอย่างไม่กระพริบตา องค์ชายตาโตมาก และถามว่า กินอะไร  ลูกบอกว่า กินข้าวเหนียวไก่ทอด  องค์ชายองค์หญิงไม่เคยเห็น ไม่เคยกิน  ลูกบอกว่า องค์ชายองค์หญิงกินอาหารที่พระแม่เสกจากน้ำมนต์ให้ อร่อยมาก มีผักมีแครอท ทำขนมโมจิเองเป็นสีเหลืองไส้ผัก

v     ลูกบอกว่า องค์ชายเล่นกระโดดหนังยางเป็น แต่องค์หญิงเล่นไม่เป็น ลูกต้องอุ้มองค์หญิงเล่น  องค์หญิงองค์ชายตัวเบามาก

 

 

เก็บกระดาษร้อยวัน

 

วันอังคารที่ 24- วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

วันนี้ลูกบอกว่า องค์ชาย องค์หญิง ต้องไปช่วยงานพระแม่  พระแม่มีงานเยอะมาก ต้องช่วยรดน้ำมนต์ ช่วยขอพรให้ครอบครัวเรา  ต้องช่วยงานอีกเป็นร้อยวัน ต้องเก็บหนังสือสวดมนต์เยอะมาก ห้องหนังสือใหญ่กว่าบ้านของเรา

v     องค์ชาย องค์หญิงบอกลูกว่า จะให้ลูกเป็นคนดี รดน้ำมนต์ให้ เพื่อให้ลูกไปช่วยเหลือคนอื่น ๆ ต่อไป จะได้ไปอยู่บนสวรรค์ด้วยกัน  องค์ชาย องค์หญิงอยู่ในร่างลูกเสมอ

 

วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

                คืนนี้ข้าพเจ้าได้นิมิตว่า องค์ชาย และองค์หญิง ได้พาข้าพเจ้าเหาะขึ้นไปบนสรวงสวรรค์ เมื่อข้าพเจ้าขึ้นไปถึงข้าพเจ้าได้พบ หญิงผู้หนึ่งแต่ชุดจีน รวบผมยาวกลางหลัง อยู่ในศาลา มารอข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ก้มลงกราบ เมื่อกราบเสร็จก็เห็นอาม่าและอี๊เกียงนั่งอยู่ข้างๆ ด้วย  สถานที่นั้น  ขาว สะอาด เงียบ สงบ สว่าง ไม่ร้อน ไม่หนาว อากาศสบาย ๆ  จากนั้น หญิงสาวผู้นั้นได้นำพาข้าพเจ้าไปพบพระแม่กวนอิม และข้าพเจ้าได้กราบพระแม่   ได้เห็นพระแม่กำลังรดน้ำต้นไม้ ปลูกต้นองุ่นอยู่บนสวรรค์  พระแม่ได้พาไปพบกับบุรุษเทพผู้หนึ่งในห้องทำงาน ห้องนั้นมีเสื่อปูให้นั่ง ข้าพเจ้า องค์ท่าน อาม่า และอี๊เกียง นั่งอยู่ที่เสื่อ ในห้องมีโต๊ะทำงานและมีโน๊ตบุ๊คด้วย ขณะนั้นเทพผู้นั้นได้ทำนายชีวิตข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะได้ทำงานเกี่ยวข้องกับการเมืองในตำแหน่งที่ดี อันจะทำให้ข้าพเจ้ามียศศักดิ์และชื่อเสียง อำนาจ บารมี และภายใน 4 ปีข้าพเจ้าจะมีกิจการที่เจริญรุ่งเรือง นำความร่ำรวยมาสู่ข้าพเจ้า ซึ่งขณะนั้นทั้งอาม่าและอี๊เกียงก็ได้มาอยู่ข้างกายข้าพเจ้าด้วย และข้าพเจ้าได้เห็นหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวอักษรที่ดูคุ้นตามาก (ไม่ใช่ตัวอักษรบนโลกมนุษย์) แต่ข้าพเจ้ากลับไม่สามารถอ่านได้เลย เหมือนจะอ่านได้แต่ก็อ่านไม่ออก

                รุ่งเช้าข้าพเจ้าหวนคิดถึงนิมิตอีกครั้ง ที่แห่งนั้น คงเป็นดินแดนแห่งนิพพาน  ไม่มีเสียงดัง ไม่มีความร้อน ไม่มีความมืด ไม่มีความเย็น มีแต่ความสว่าง ความพอดี ความเงียบสงบ เท่านั้น ช่างเป็นความรู้สึกที่ดี ข้าพเจ้าอยากไปกลับอยู่ที่นั่นเหลือเกิน คงต้องพยายามทำหน้าที่ให้เสร็จก่อน

 

เสียงหัวเราะใสดั่งน้ำ

 

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

v ในทุก ๆ วัน หลังจากอัญเชิญพระแม่ องค์ชายและองค์หญิงประทับที่บ้านแล้ว อาม่าจะเป็นคนดูแล ถวายน้ำชาและน้ำดื่มถวายแด่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุก ๆ องค์ในตอนเช้าของทุกวัน การถวายพระแม่จะถวายน้ำชา 3 ถ้วย และถวายน้ำเปล่าองค์ชายองค์หญิง 2 ถ้วย รวมใน 1 ถาดจะมีน้ำถวาย 5 ถ้วย วันนี้อาม่าชงน้ำชาถวายตามปกติ พอกลางคืน อาม่าจะขอน้ำชาที่ถวายดื่มเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ทุกวัน คืนนี้ก็เช่นกัน แต่สิ่งที่เกิดความประหลาดใจอย่างยิ่งคือ น้ำชาที่ถวายพระแม่จำนวน 3 ถ้วยนั้น มี 2 ถ้วยที่เป็นน้ำชาตามปกติ ส่วนอีกถ้วยนั้นจากเดิมที่ถวายเป็นน้ำชานั้น ได้กลับกลายเป็นน้ำที่ใสสะอาด เหมือนน้ำเปล่าธรรมดาทั่วไป ภายหลังจึงเข้าใจว่า พระแม่ต้องการให้อาม่าได้รู้ว่า พระแม่ได้ดื่มน้ำชาที่อาม่าถวายทุกวันจริง ๆ

v  วันนี้เป็นวันเสาร์ ของช่วงกลางเดือน ข้าพเจ้าไปเปิดร้านตามปกติ แต่วันนี้ ลูก และ หลานสาว อยู่บ้าน เวลาประมาณ 10 โมงเช้า ลูกและหลานสาวนั่งเล่นเกมส์หอยในห้องของหลานชาย  ส่วนอาม่า ก็กำลังเดินไปเดินมาตรงหน้าตี่จู๋เอี๊ยกง  สักพักในความเงียบนั้น อาม่าได้ยินเสียงเด็กหัวเราะ  เป็นเสียงที่ใสมาก เสียงไพเราะหัวเราะอย่างสนุกสนานออกมาจากห้องที่ลูกกำลังนั่งเล่นเกมส์กันอยู่ อาม่าจึงเปิดประตูเข้าไปถามลูกว่าหัวเราะอะไร ลูกและหลานบอกว่าเปล่า ไม่มีใครหัวเราะ  อาม่าจึงถามว่าเสียงหัวเราะมาจากเกมส์หรือเปล่า ลูกบอกว่าไม่ไช่ ข้าพเจ้าบอกว่าไม่ใช่เพราะเสียงเกมส์หอยนั้นเป็นแค่เสียงดนตรี ไม่ได้มีเสียงหัวเราะในเกมส์ ภายหลังจึงรู้ว่าเป็นเสียงหัวเราะขององค์ชายและองค์หญิง  เพราะลูกบอกว่าตอนนั้นลูกอุ้มองค์หญิงอยู่ ส่วนองค์ชายก็กำลังเล่นเกมส์กับหลานสาวและหัวเราะกับองค์หญิงอย่างสนุนสนาน เพราะไม่เคยเล่นมาก่อน

 

นิมิตชี้แจ้งอดีตชาติ

 

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

                ข้าพเจ้าได้อธิษฐานต่อหน้าพระพุทธองค์ถามว่า ข้าพเจ้านั้นเป็นใครในอดีตชาติ และชาตินี้มาเกิดใหม่เพื่อทำหน้าที่อะไร

                กลางดึกข้าพเจ้าได้นิมิตว่า ข้าพเจ้านั้นเป็นผู้อยู่ข้างกายพระแม่กวนอิมเสมอ คอยช่วยเหลือมวลมนุษย์ให้พ้นโศก การที่ข้าพเจ้าต้องลงมานี้เพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือมวลมนุษย์ ข้าพเจ้าถามพระแม่ว่า คนข้างล่างทำความเดือดร้อนเอง กิเลสมาก ไม่รู้จักพอ ทำให้ตนเองเป็นทุกข์เอง ทำไมต้องลงไปช่วย ซึ่งพระแม่ตอบว่า ตอนนี้มนุษย์ด้านล่างกำลังเดือนร้อน ทุกข์หนัก จึงต้องลงไปช่วยเหลือ โดยมีองค์ชายและองค์หญิงมาส่งข้าพเจ้าด้วย

                ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าคิดถึงองค์ชายและองค์หญิง  องค์ทั้งสองจะสละเวลาลงมาเรียก ข้าพเจ้า     ทุกครั้ง เนื่องด้วยในเวลานี้องค์ชายองค์หญิงไปเก็บกระดาษบนสวรรค์เป็นเวลา 100 วัน และคืนหนึ่งองค์ชาย องค์หญิงได้บอกแก่ข้าพเจ้าว่า รักหม่าม๊า นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้านั้นมีความสุขอย่างยิ่ง  รักและคิดถึงลูก จะพยายามทำหน้าที่ให้เสร็จและกลับขึ้นไปอยู่กับลูก ๆ อีก

 


 

ภาพวาดที่งดงาม

 

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

                ข้าพเจ้าได้อธิษฐานขอวาดภาพพระแม่กวนอิม องค์ชาย และองค์หญิงไว้สักการะบูชา และทำเป็นจี้สำหรับพกติดตัว  หลายคืนมาแล้วที่องค์ชายและองค์หญิงทำงานเก็บกระดาษสวดมนต์ให้พระแม่กวนอิม ไม่ได้มาหาข้าพเจ้า

                แต่คืนนี้ องค์ชายและองค์หญิงมาหาและเรียกข้าพเจ้าเหมือนเดิม และในฝันองค์ชายได้บอกกับบุตรสาว และบุตรสาวนั้นได้มาบอกข้าพเจ้าอีกทีหนึ่งว่า “หม่าม๊า องค์ชายบอกว่า รูป กวนอิมเนื่ยเนื้ย วาดได้สวย”  ซึ่งเป็นภาพที่เพิ่งวาดและใส่กรอบเสร็จ และตั้งไว้บนโต๊ะหน้าหิ้งพระเป็นคืนแรก

 

 

 

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บันทึกปาฏิหาริย์ บทสวดมนต์พระแม่กวนอิม 1-23

ภาคบทสวดมนต์ พระแม่กวนอิม         บทสวดมนต์นี้ ข้าพเจ้าได้ฟังจากบทสวดและถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือ พร้อมกำหนดเสียงสูง ต่ำ ให้สอดคล้องกับบทสวด...